วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

ภูสอยดาว - อุตรดิตถ์



ทริปนี้เป็นความตั้งใจของสมัครพรรคพวกตั้งแต่ปีที่แล้วว่าอยากมาภูสอยดาว ดูดอกหงอนนาค แต่ปีที่แล้วรู้ตัวช้าไปหน่อยว่าจะหาเวลาว่างตรงกันได้ก็หมดฝน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดอกหงอนนาคจะบานเสียแล้ว มาปีนี้เราเลยไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆ นัดหมายช่วงเวลาที่เหมาะสมดอกหงอนนาคบาน ประมาณ สิงหาคมถึง กันยายน แล้วเก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเลย
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมสองจังหวัด คืออำเภอน้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ และอำเภอชาติตระการ จ.พิษณุโลก จริงๆแล้วยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงถึง 2,102 เมตร สูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย แต่ยอดภูสอยดาวที่สูงๆนี้จะเปิดให้ขึ้นได้ช่วงหน้าหนาวเพราะหน้าฝนทางลื่น เป็นอันตรายได้โดยง่าย แถมถ้าใครจะไปจะต้องมีค่าเจ้าหน้าที่นำทางคิดหัวละ 300 บาท (แอบได้ยินพี่เจ้าหน้าที่คุยกับคนอื่น) เป้าหมายการเดินทางมาภูสอยดาวของเราครั้งนี้คือ พิชิตลานสนภูสอยดาว กับ ดอกหงอนนาค

วันที่หนึ่ง
ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ (ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินหรอกนะจ๊ะ) จุดนัดหมายสมาชิกรถตู้พร้อมเพรียงกัน 9 ชีวิต มุ่งสู่ภูสอยดาว เวลาสี่ทุ่มครึ่ง

วันที่สอง
เรามาถึงพิษณุโลก ตอนเกือบตีห้าได้ พี่บุญหลาย (พี่คนขับรถตู้)บอกว่าอีกไม่ไกลแล้วอีกชั่วโมงเดียว ของีบก่อน รีบไปอุทยานก็ยังไม่เปิด เพราะงั้นเราก็นอนต่อกันไป แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะนอนกันมาตลอดทางก็ตาม
เรามาถึงที่ทำการอุทยานกันตอนแปดโมงกว่าๆได้ ลงจากรถก็เดินไปด้อมๆมองๆแถวที่คนขนของมาวางไว้ แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ เลยถามพี่ๆที่เค้านั่งอยู่ สรุปได้ว่า เราจะต้องทำการชั่งของให้ลูกหาบ ชำระค่าธรรมเนียม กับเจ้าหน้าที่ก่อนขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มา... เอ่อ...ราชการทำงานสายกัน เราก็ลืมไป เวลาระหว่างรอเราก็จัดการทำธุระส่วนตัว ล้างหน้าแปรงฟัน ทานข้าวเช้า สั่งข้าวเที่ยง เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง
ภูสอยดาวนี่แปลกอย่าง ที่ทำการอุทยานกับทางเดินที่จะขึ้นภูไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เราจะต้องไปที่ทำการเพื่อจ่ายเงิน ขนของให้ลูกหาบ และนั่งรถมาอีกที่เพื่อเดินขึ้นตรงแถวๆ น้ำตกภูสอยดาว จริงๆน้ำตกภูสอยดาวนี่สวยใช้ได้เลย แต่ตอนจะเดินขึ้นฝนตก ยังไม่ทันได้หยิบกล้อง ต้องเปลี่ยนมาคว้าเสื้อกันฝนมาใส่แทน ตอนเริ่มเดินเขาทุกครั้ง เราจะตื่นเต้นตลอดเลย เพราะไม่รู้ว่าทางจะยากขนาดไหน เราจะไหวรึเปล่า จะเป็นตะคริว จะโน่นนั่นนี่สารพัด เลยต้องพยายามข่มใจ เคล็ดลับของเราคือ เดินดูเท้าตัวเองไปเรื่อยๆถ้าตอนไหนไม่ไหว อย่าไปมองทางข้างหน้า(เพราะเดี๋ยวจะท้อ) เดินเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่ง ..สู้เว้ย!...
เริ่มเดินตอนสิบโมงครึ่ง ฝนก็ตก ทางไม่ได้ดูเลย ไม่รู้เลยว่าเดินผ่านมาถึงเนินไหน เดินต่อไปอะไร รู้แต่ว่าเวลาเฉลี่ยที่คนทั่วไปเดินกันคือ 4-6 ชั่วโมง เพราะงั้นเราต้องเดินไปอีกๆๆ ยังไม่ใกล้ถึงแน่นอน

  ต้นไม้สีเขียวระหว่างทางเดิน

ตอนเกือบบ่ายโมงเราแวะพัก กินข้าวหมูกระเทียมที่ห่อมาจากข้างล่าง ช่างอร่อยเสียนี่กระไร ...
หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ตอนหลังนี้ฝนไม่ตกแล้ว เราเลยเก็บเสื้อกันฝน แต่ก็ยังไม่กล้าเอากล้องออกมาอยู่ดี
เนินที่เค้าว่าชันๆของภูสอยดาวคือ เนินมรณะ เราเดินมาถึงโดยไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าเนินนี้จะไม่มีต้นไม้แล้วเพราะเป็นเนินสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปถึงลานสน แต่วิวข้างทางจะสวยมาก จริงๆเนินนี้ทางก็ไม่ชันเท่าไหร่นะ อาจะเป็นเพราะเราเดินไปดูวิวไป ก็ได้
ระหว่างทาง
วิวระหว่างทางเนินมรณะ

เรามาถึงลานสนตอนบ่ายสามโมงครึ่ง ใช้เวลาทั้งสิ้นห้าชั่วโมงพอดี
มาถึงก็จัดแจงหาสถานที่กางเตนท์ เก็บของ แล้วก็ทำกับข้าว ชีวิตการเป็นอยู่ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เยอะเท่าไหร่ เราจำเป็นจะต้องไปเช่าถังน้ำและขันน้ำเผื่อใช้ตักน้ำในลำธารมาอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ น้ำฝนมีบริการไว้สำหรับกิน(แต่วันสุดท้ายน้ำฝนก็หมดแทงค์ เพราะคนขึ้นมาเยอะ) มีเต้นท์ ถุงนอน ที่รองนอน ผ้าใบ เตาแก๊ส แก๊สกระป๋อง ถ่าน เตาอั้งโล่ หม้อ เตาย่างไว้ให้เช่าด้วย แต่ของกินไม่มีให้บริการนะจ๊ะ
ป้ายผู้พิชิตคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวพร้อมกับฉากหลังของต้นสนสูงใหญ่

มื้อแรกทำกินด้วยความยากลำบาก เพราะยังไม่ชิน ไม่เข้าที่เข้าทาง แต่อาหารหมดไปด้วยความรวดเร็ว
ในตอนแรกเราเตรียมอาหารมาไว้เพราะกะว่าจะค้างบนลานสนแค่ 1 คืน เพราะฉะนั้นอาหารเราจะพอดีสำหรับ แค่ 2 มื้อเท่านั้น แต่เพราะคำจากคนรอบข้างว่า ขึ้นมาถึงก็เย็นแล้ว ยังไม่ทันได้ดูดอกหงอนนาคก็ต้องลงแล้ว เราเลยตัดสินใจค้างที่นี่ต่อสองคืน แต่กลับไม่ซื้ออาหารเพิ่ม (ไอ้บ้าเอ๊ย ใช้อะไรคิดฟร๊ะ ?!) อาหารสำหรับ 2 มื้อถูกแบ่งเป็นอาหารสำหรับ 4 มื้อแทน อ้อ ที่นี่เค้ามีบริการหมูกระทะด้วยนะด้วยความอดอยากของเรา มีเพียงเงินที่ใช้ไม่ได้ข้างบนนี้ เค้ามีบริการโทรสั่งหมูกระทะสั่งวันนี้อีกวันได้กิน เพราะลูกหาบจะต้องแบกขึ้นมาให้จากข้างล่าง เพราะเลยขอฝากท้องหนึ่งมื้อไว้กับหมูกระทะ ... เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ

สำหรับวันนี้การเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม ถือเป็นเรื่องควรทำ พักผ่อน เตรียมพร้อมรับมือวันต่อไป

วันที่สาม
หมอกลงเยอะมากจนไม่สามารถไปดูพระอาทิตย์ได้ เราเลยแอบนอนตื่นสายนิดหน่อย กินข้าวกินปลา(กระป๋อง)เรียบร้อย วันนี้เป็นวันแสนสบายของเรา เรามีเวลาเพียงพอที่จะเดินไปแลนมาร์คต่างๆของภูสอยดาวได้เต็มที่ ทุ่งดอกหงอนนาค น้ำตกสายทิพย์ หลักกิโลไทย-ลาว  จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ซึ่งสถานที่แต่ละแห่งนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่(คือจริงๆมันเดินเป็นวงกลม นิดเดียวเอง)
ลานสนกับหมอก

กลุ่มต้นสนมองจากจุดชมพระอาทิตย์ตก



ดอกหงอนนาคบานเมื่อเจอแสง
ทุ่งดอกหงอนนาค
 
น้ำตกสายทิพย์



ตอนเย็นทุกคนกลับมาที่เตนท์ ตั้งตารอหมูกระทะที่พวกเราสั่งกันมา แต่พอลูกหาบมาถึง ลูกหาบยื่นถุงพลาสติกใบใหญ่ข้างในมีผัก หมู ลูกชิ้น ตะเกียบ จานกระดาษ น้ำจิ้ม แล้วก็เดินจากไป ทุกคนงงมาก ว่าไหนละกระทะ เตา กลายเป็นว่าทุกอย่างเราต้องเตรียมกันเองหมดเลย งานเข้าเลย..ต้องไปเช่าเตาอั้งโล่จุดถ่าน ถ่านก็ชื้นเกิน ต้องเปลี่ยนไปใช้กิ่งไม้แห้ง หญ้าแห้งแทน กว่าจะจุดเตาติดก็เป็นชั่วโมง หมูกระทะในฝันของเรากลายร่างเป็นสุกี้แทน แม้จะไม่ได้ตามหวังนิดหน่อยแต่อาหารมื้อนี้ก็ยังอร่อยมากๆอยู่ดี


วันที่สี่
ข้อดีของการมาเที่ยวหน้าฝนคือ เราไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะว่าฝนมักจะตกและหมอกหนาจนบดบังทัศนียภาพอยู่แล้ว ส่วนพระอาทิตย์ตกนี่ก็ต้องลุ้นเอาเองจะเห็นเป็นไข่แดง หรือแค่แสงรำไรคงสุดแล้วแต่บุญแต่กรรม ฮาฮาฮา

มื้อเช้าวันนี้เป็นมื้อทุบหม้อข้าวของจริง เพราะข้าวเราเหลือเพียงแค่กำมือ บังเอิญเพื่อนในกลุ่มมีคนรู้จักขึ้นภูสอยดาวมาพร้อมกัน พวกเราเลยได้รับความเมตตาแบ่งข้าวและกับข้าวมาให้ทานกัน (ต้องขอบคุณมากจริงๆนะคะ) สรุปมื้อนี้เราเลยรอดตายกันไปได้

แพลนเดิมที่ตั้งใจจะตื่นแต่เช้าต้องเลื่อนไปหมด กว่าฝนจะหยุดตก ก็หกโมงกว่าแล้ว วันนี้เราไม่มีโปรแกรมจะทำอะไรนอกจากเก็บของแล้วลงอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ไปถึงกรุงเทพกันดึก แต่ฝนและตาชั่งเพียง 1 อันกับจำนวนคนที่ต้องการชั่งของกับลูกหาบ ทำให้เราต้องรอและรอไปเรื่อยๆ กว่าจะได้เริ่มเดินลงก็สิบโมงครึ่งอีกเหมือนกัน พวกเราเดินลงกันมาเกือบสามชั่วโมงได้ มีฝนตกเล็กๆน้อยๆระหว่างทาง แต่พอใกล้จะถึงน้ำตกภูสอยดาว เราวางแผนว่าจะไปถ่ายรูปน้ำตกชดเชยขาไปที่ฝนตกซะหน่อย ฝนก็ดันเทลงมาแรงเลย ..ทริปนี้เลยไม่มีภาพน้ำตกภูสอยดาว 

ลงจากภูมาปุ๊ปก็อาบน้ำอาบท่าแล้วเดินทางกลับกทม. ปิดทริป
จบไปอย่างสวยงาม (เหรอ)..


 

ข้อแนะนำ
1. ระยะทางระหว่างตีนภูถึงลานสนที่ป้ายคือ 6 กิโลเมตร แต่วัดจาก GPS ได้ 8 กิโลเมตร
2. ทางเดินไม่ยากเท่าไหร่ เดินเข้าไปในป่า ช่วงแรกเดินเลียบน้ำตก ช่วงกลางเป็นป่า ช่วงหลังเป็นหญ้า มีบันไดให้เห็นเป็นช่วงๆ ทางราบมีสลับไปกับทางปีนขึ้น (4 เต็ม 5)
3. ถ้าจะไปหน้าฝนยังไงก็ต้องเจอฝน เตรียมเสื้อผ้า เสื้อกันฝนไปให้พร้อม
4. มีตัวคุ่น คือเราไม่รู้สึกตัวแต่ว่าตอนกลับลงมาก็เห็นจุดแดงเต็มขาเลย ยากันแมลงเตรียมไปอย่าให้ขาดถ้าใครแพ้
5. ดอกหงอนนาคบานตอนโดนแสง แต่เราว่ามันบานตอนสิบโมงแม้จะไม่มีแสงแดดเท่าไหร่แต่สิบโมงมันก็จะทยอยบานกันหมด
6. เราว่าอยู่บนภูซัก 2 คืน คือเต็มอิ่ม แต่ถ้าใครไหว 1 คืนก็ได้
7. อาหาร น้ำ ขนม เตรียมไปอย่าให้ขาด บนนั้นไม่มีขายนะ
8. น้ำที่ใช้ข้างบนเป็นน้ำลำธาร ใช้ต่อๆกันกว่าจะมาถึงที่เราตัก ผ่านอะไรมาบ้างไม่รู้ อย่าไปคิดอะไรมาก ถ้าทนไม่ได้ทิชชู่เปียกแทนการอาบน้ำก็สะดวกดี เราไปก็ไม่ได้อาบน้ำเลย อิๆ
นึกไม่ออกแล้ว ไว้แค่นี้ละกัน
 
รายละเอียด
ผู้ร่วมเดินทาง : ผักบุ้ง พี่เดียร์ พี่ติ่ง หงส์ พี่อาร์ต พิมพ์ บิว มินต์ โอม
การเดินทาง : รถตู้
เวลาเดินทาง : 8 – 11 กันยายน 2559
ค่าใช้จ่าย : 2,600 บาทต่อคน

เราชอบปีนเขา ชอบช่วงเวลาเดินขึ้นแล้วเจอคนบอกว่าอีกนิดเดียว ให้กำลังใจ ยิ้มแล้วทักทายให้กันตลอดทาง จริงๆการเที่ยวแบบนี้ มันหาความสบายไม่ได้นะ แต่ประสบการณ์ที่ได้กลับมามันน่าจดจำจริงๆ
ไว้เจอกันใหม่...เมื่อคิดถึงเขา
: )